“ทาดาโน” ผู้นำอันดับ 1 ด้านเครนรถบรรทุกจากประเทศญี่ปุ่นผนึกกำลัง “อิตัลไทยอุตสาหกรรม” ตั้งบริษัทร่วมทุน “ทาดาโน อิตัลไทย” ชูไทยเป็น “ฐานขยายตลาด CLMV” ประเดิมเปิดตลาด ลาว – กัมพูชา เล็งคว้าโอกาสจากการเติบโตธุรกิจโลจิสติกส์ – ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในอาเซียนสอดรับโครงการ One Belt, One Road

(คุณอดิศร์ พฤกษ์พัฒนรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อิตัลไทยอุตสาหกรรม จำกัด)

คุณอดิศร์ พฤกษ์พัฒนรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อิตัลไทยอุตสาหกรรม จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบัน บริษัท ทาดาโน จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและประกอบเครนสัญชาติญี่ปุ่นได้ร่วมลงทุนกับบริษัท อิตัลไทยอุตสาหกรรม จำกัด จัดตั้ง “บริษัท ทาดาโน อิตัลไทย จำกัด” เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้จัดจำหน่าย “เครนติดรถบรรทุก” (Cargo Crane) อย่างเป็นทางการรายเดียวในประเทศไทย พร้อมด้วย สปป.ลาว และ กัมพูชา ถือเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญของบริษัทฯ หลังจากที่ อิตัลไทยอุตสาหกรรม ได้รับความไว้วางใจจากทาดาโนให้เป็นตัวแทนจำหน่ายในไทยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2528 ทั้งการร่วมทุนในครั้งนี้ ยังถือเป็นการตอบสนองทิศทางการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทอิตัลไทย ที่มีอิตัลไทยอุตสาหกรรมเป็นหนึ่งในธุรกิจหลัก

บริษัทร่วมทุน “ทาดาโน อิตัลไทย” เกิดขึ้นจากที่ทั้งสองฝ่ายมองเห็นศักยภาพการเติบโตของตลาดเครน ติดรถบรรทุกในอาเซียนที่มีโอกาสขยายตัวอีกมากจากแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลไทย รวมถึง การปรับปรุงสาธารณูปโภคพื้นฐานในประเทศเพื่อนบ้านอย่าง สปป.ลาว กัมพูชา ฯลฯ เพื่อรองรับโครงการเส้นทางสายไหมศตวรรษที่ 21 หรือ One Belt, One Road ของจีน ซึ่งจะเป็นการพัฒนาเส้นทางเศรษฐกิจที่เชื่อมต่อยุโรป รัสเซีย เอเชียกลาง และอาเซียน เข้าด้วยกัน

“ขณะที่ประเทศไทยมีความได้เปรียบด้านภูมิศาสตร์ ทำให้กลายเป็นศูนย์กลางการขนส่งและโลจิสติกส์ ทั้งทางบกและทางรถไฟ ประกอบกับจะมีการลงทุนเกิดขึ้นมากมายในภูมิภาคนี้ ทำให้แนวโน้มความต้องการใช้งานเครนติดรถบรรทุกเพิ่มขึ้นมาก”

คุณอดิศร์ กล่าวว่า การตั้งบริษัทร่วมทุนครั้งนี้ถือเป็นการนำจุดแข็งด้านคุณภาพสินค้า ความเชื่อมั่นแบรนด์ทาดาโนที่เป็นอันดับ 1 วงการเครน ผนวกกับความเชี่ยวชาญการตลาดและบริการหลังการขายของอิตัลไทยอุตสาหกรรม ที่มีศูนย์บริการอิตัลไทยเซ็นเตอร์ให้บริการลูกค้าแบบ 24 ชั่วโมง ครอบคลุมพื้นที่สำคัญทั่วประเทศไทย รวมทั้งใน สปป.ลาว รวมกว่า 14 แห่ง ทำให้ “ทาดาโน อิตัลไทย” มีความได้เปรียบคู่แข่งที่จะช่วยสร้างให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ลูกค้า โดยตั้งเป้าว่าจะสามารถเพิ่มยอดขายเครนติดรถบรรทุกในไทยเป็น 500 ยูนิตต่อปี หรือ ประมาณ 500 ล้านบาท นับแต่ปี 2563 เป็นต้นไป

(คุณฮิเดโตชิ อิกะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทาดาโน อิตัลไทย จำกัด)

คุณฮิเดโตชิ อิกะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทาดาโน อิตัลไทย จำกัด กล่าวว่า บริษัทร่วมทุน “ทาดาโน อิตัลไทย” มีทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท โดย ทาดาโน ญี่ปุ่นถือหุ้น 49% อิตัลไทยอุตสาหกรรม 48% และบริษัท เอ็มเอชซีบี คอนซัลติ้ง (ประเทศไทย) 3% เหตุผลที่ทาดาโนร่วมทุนกับอิตัลไทยอุตสาหกรรมและเลือกประเทศไทยเป็นศูนย์กลางจัดจำหน่ายและกระจายสินค้าใน สปป.ลาว และ กัมพูชา เพราะเชื่อมั่นประสบการณ์ และผลงานของบริษัทที่เป็นผู้แทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทาดาโนมากว่า 30 ปี จนทำให้ทาดาโนมีส่วนแบ่งอันดับหนึ่งของตลาดเครนประเทศไทย

ขณะเดียวกันก็เชื่อมั่นว่า ตลาดเครนติดรถบรรทุกในประเทศไทยที่เป็นตลาดใหญ่สุดในอาเซียน มีโอกาสขยายตัวอีกมากด้วยปัจจัยเกื้อหนุนต่างๆ ทั้งนโยบายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่องของรัฐบาล รวมทั้งกฎระเบียบที่ส่งเสริมให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น ประกอบกับที่ประเทศไทยเป็นฐานผลิตและประกอบรถบรรทุกแบรนด์ญี่ปุ่นที่ครองตลาดในอาเซียนกว่า 80% ซึ่งถือเป็นฐานลูกค้าหลักของทาดาโน

คุณฮิเดโตชิ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทาดาโนได้เข้ามาลงทุนสร้างโรงงานผลิตเครนติดรถบรรทุกในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2555 โดยมีกำลังการผลิตมากกว่า 1,000 ยูนิตต่อปี การตั้งบริษัทร่วมทุนครั้งนี้จึงถือเป็นการเชื่อมยอดฐานการผลิตกับระบบจัดจำหน่ายเข้าด้วยกัน ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพด้านบริหารจัดการต้นทุน บริหารสต็อกสินค้า และการขยายฐานลูกค้าในไทยและ CLMV โดยเฉพาะใน สปป.ลาว และ กัมพูชา ให้ดียิ่งขึ้น รวมถึงจะช่วยนำไปสู่โอกาสการต่อยอดทางธุรกิจใหม่ๆ ในอนาคตได้มากขึ้น

(คุณสมเกียรติ จิวิริยะวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส บริษัท อิตัลไทยอุตสาหกรรม จำกัด)

ด้านคุณสมเกียรติ จิวิริยะวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส บริษัท อิตัลไทยอุตสาหกรรม จำกัด กล่าวว่า เครนของทาดาโนมีจุดเด่นทั้งด้านเทคโนโลยี คุณภาพ ความปลอดภัย โดยถูกออกแบบมาให้สามารถติดตั้งใช้งานกับรถบรรทุกได้ทุกรุ่น ทุกยี่ห้อ ทั้งจากประเทศญี่ปุ่น ยุโรป อเมริกา รวมถึงจีน ด้วยขนาดเครน ที่มีตั้งแต่ 4-10 ตัน และความยาวของแขนทั้งแบบ 3-4-5 ท่อน เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานที่ต่างกันไปทำให้สามารถขยายตลาดได้ในวงกว้างตั้งแต่ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมจนถึงกลุ่มผู้รับเหมารายย่อย

กลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลัก ได้แก่ กลุ่มผู้ประกอบการขนส่งและโลจิสติกส์ทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ ที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพและประหยัดเวลาขนส่งสินค้า รวมถึงกลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้าง ซึ่งการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนครั้งนี้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถด้านการขายได้มากขึ้น โดยกลยุทธ์การทำตลาดจะมุ่งต่อยอดฐานลูกค้าเดิมผสานกับการใช้ประโยชน์ของศูนย์บริการอิตัลไทยเซ็นเตอร์ที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศไทย และครอบคลุมถึง สปป.ลาว จากข้อมูลที่ได้ช่วยให้สามารถวิเคราะห์โอกาสช่องว่างทางการตลาดเพื่อขยายฐานเพิ่มทั้งในไทยและในตลาด CLMV ต่อไป โดยปีที่ผ่านมายอดขายเฉพาะในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 250 ยูนิต และคาดว่าปี 2560 จะสามารถทำยอดขายได้ประมาณ 300 ยูนิต ด้วยมูลค่ามากกว่า 300 ล้านบาท ซึ่งครองส่วนแบ่งประมาณ 35%

Previous articleผลงานตามเทรนด์ ‘complete the painting’ ซี่รี่ส์ภาพเพ้นท์ที่เน้นการมีส่วนร่วมระหว่างผู้ชมและงานศิลปะ
Next articleหลังคาไตรลอน ตราห้าห่วง คว้า “ฉลากเขียว” รายเดียวในประเทศไทย