เป็นเวลานานกว่า 160 ปี ที่ “ลิฟท์” ได้ถูกสร้างขึ้นมาใช้งาน สำหรับอำนวยความสะดวกให้มนุษย์สามารถเดินทางขึ้นสิ่งปลูกสร้างได้ง่ายยิ่งขึ้น เรียกได้ว่าทุกวันนี้อาคารสูงทุกแห่งทั่วโลกต้องติดตั้งลิฟท์ไว้ใช้งานเป็นมาตรฐาน และแน่นอนว่าลิฟท์ทั่วไปที่เรารู้จักและใช้งานกันนั้นจะเป็นลิฟท์ที่เคลื่อนตัวขึ้น-ลงในแนวดิ่งเท่านั้น ด้วยเหตุนี้บริษัทวิศวกรรม ThyssenKrupp จึงคิดก้าวล้ำไปอีกขั้นด้วยการพัฒนานวัตกรรมลิฟท์ที่สามารถเคลื่อนตัวอิสระได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน ให้ผู้ใช้งานทุกท่านเดินทางไปยังทุกพื้นที่ของตึกอาคารได้อย่างทั่วถึง

ThyssenKrupp เล็งเห็นว่าถึงเวลาที่การเดินทางบนลิฟท์โดยสารจะก้าวข้ามการเคลื่อนแบบทิศทางเดียว จึงได้คิดค้นระบบรางแม่เหล็กที่จะช่วยให้ตัวลิฟท์เคลื่อนที่ไปได้ทั้งในแนวตั้งและแนวนอนคล้ายกับรถไฟ โดยไม่ต้องใช้สายเคเบิลคอยดึงเหมือนลิทฟ์ปกติทั่วไป ตัวลิฟท์จึงสามารถเดินทางไปรับผู้โดยสารได้ทุกแห่งบนอาคารอย่างอิสระ และล่าสุดนี้บริษัท ThyssenKrupp ก็ได้เปิดเผยว่าได้มีลูกค้าที่สนใจประเดิมนำระบบลิฟท์ไปใช้รายแรกคือ บริษัทอสังหา OVG Real Estate ซึ่งจะนำไปติดตั้งใช้งานจริง ณ ตึก East Side Tower ขนาดความสูง 807 ฟุต ในกรุงเบอลินประเทศเยอรมนี ที่จะสร้างเสร็จในอีกสองปีข้างหน้า โดยจะติดตั้งระบบลิฟท์ใช้งานทั้งหมดจำนวน 12 ตัว และแต่ละตัวจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วถึง 59 ฟุตต่อวินาที

ด้วยระบบลิฟท์แบบ MULTI system จะมอบความสะดวกสบายมากกว่าลิฟท์แบบเดิม เนื่องจากผู้โดยสารจะได้รับความสะดวกมากขึ้นในด้านการเดินทาง ช่วยให้ไปยังสถานที่บนตึกอาคารได้อย่างทั่วถึง ลดระยะเวลารอคอยลิฟท์ ตลอดจนเป็นการใช้พื้นที่ภายในอาคารได้เกิดประโยชน์ นอกจากนี้ยังช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้อีกด้วย เนื่องจากระบบลิทฟ์แบบนี้จะใช้พลังงานที่น้อยกว่าเดิมถึง 60 เปอร์เซ็นต์

ทางบริษัทผู้คิดค้น ThyssenKrupp ยังให้ข้อมูลเพิ้่มเติมว่าลิฟท์ของพวกเขาสามารถใช้งานได้โดยไม่มีข้อจำกัดด้านความสูง และการที่ลิฟท์เคลื่อนที่ไปได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการออกแบบทางสถาปัตยกรรมอาคารรูปแบบใหม่ขึ้นตามมา เนื่องจากประชาชนจะเข้ามาใช้งานในอาคารมากขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งการออกแบบอาคารสูงที่ใช้งานได้หลายฟังก์ชั่นจะช่วยลดการปล่อยมลภาวะได้เช่นกัน แต่ทั้งนี้ระบบลิฟท์ดังกล่าวยังถือว่ามีค่าใช้จ่ายก่อสร้างที่ค่อนข้าวแพงอยู่มาก โดยจะมีราคาติดตั้งสูงกว่าระบบลิฟท์ทั่วไปมากถึง 5 เท่า แม้ว่าตัวระบบจะพร้อมใช้งานแล้วแต่ก็ต้องใช้เวลานานอยู่เหมือนกันที่ตึกระฟ้าทั่วไปจะนำระบบนี้ไปใช้งาน

Previous article“ORI” ผนึกยักษ์อสังหาฯแดนปลาดิบ “โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์” พร้อมปรับแผนเปิดโครงการเพิ่มเป็น 12 โครงการ มูลค่า 1.8 หมื่นล้าน
Next articleCharles Kuonen สะพานแขวนที่ยาวที่สุดในโลก เปิดให้เห็นวิวธรรมชาติของเทือกเขาแอลป์ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์
วีรศักดิ์ ประสพบุญ
Content Writer เว็บไซต์ Builder News สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท จากคณะมนุษยศาสตร์ สาขาวิชานิเทศศาสตร์และสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เคยปฏิบัติงานเป็นนักวิชาการด้านศิลปวัฒนธรรมสังกัดกรุงเทพมหานคร ปัจจุบันเป็นนักเขียนและผู้สื่อข่าวด้านรถเพื่อการพาณิชย์ การก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ และสถาปัตยกรรม