ช่วงต้นปี 2561 สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ รายงานว่าได้รับการร้องเรียนจากบรรดาผู้รับเหมาก่อสร้างว่า  วัสดุก่อสร้างประเภท ดินลูกรัง ทรายถมที่ ทรายหยาบ ทรายละเอียด หินคลุก หินย่อย รวมไปถึงยางมะตอย  เริ่มประสบปัญหาขาดแคลนและตึงตัวในหลายพื้นที่โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรืออีอีซี ซึ่งประกอบด้วยจังหวัดชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา  เพราะในพื้นที่เหล่านี้มีการขยายตัวด้านงานก่อสร้างทั้งเมกะโปรเจกต์ของรัฐบาล และการลงทุนของภาคเอกชนทั้งไทยและต่างประเทศ  จึงเกิดการแย่งชิงและกักตุนวัสดุก่อสร้าง

นายกฤษดา จันทร์จำรัสแสง ที่ปรึกษาสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย เคยให้ความเห็นในกรณีนี้ไว้ว่า สถานการณ์วัสดุก่อสร้างขาดแคลนก็เนื่องมาจากโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐเริ่มก่อสร้างพร้อมๆกันหลายโครงการ  ทำให้เกิดความต้องการวัสดุก่อสร้างจำนวนมาก  และอาจจะส่งผลต่อราคาให้เพิ่มสูงขึ้นหากสินค้ามีไม่เพียงพอต่อความต้องการในขณะนั้น

สถานการณ์ดังกล่าวรุนแรงยิ่งขึ้นในช่วงปลายปี 2561 เมื่อเกิดวิกฤติหินก่อสร้างขาดแคลนถึงขนาดที่บางพื้นที่ต้องสั่งนำเข้าหินก่อสร้างจากประเทศเพื่อนบ้าน  โดยเบื้องลึกเบื้องหลังก็สืบเนื่องจากการเกิดสูญญากาศในกระบวนการพิจารณาต่อใบอนุญาตโรงโม่หินทั่วประเทศ  ซึ่งสาเหตุมาจากความล่าช้าในการออกพ.ร.บ.แร่ฉบับใหม่  ต่อเนื่องถึงการวางยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแร่ 20 ปี และการออกแผนแม่บทบริหารจัดการแร่ 5 ปีที่กว่าจะสรุปได้ก็ล่วงเข้ามาถึงปี 2562 ซึ่งภาวะเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก

ความตกต่ำทางเศรษฐกิจที่ชาวบ้านรู้สึกว่า “รวยกระจุก-จนกระจาย”  (แต่รัฐบาลอ้างมาตลอดว่าแค่ชะลอตัวแต่ยังเติบโต)  ประกอบกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ย่ำแย่เพราะผลกระทบจากสงครามการค้าของสองมหาอำนาจโลก “สหรัฐอเมริกา – สาธารณรัฐประชาชนจีน” ทำให้การส่งออกของไทยถดถอยยิ่งเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์ภายในประเทศ  บรรยากาศการค้า การผลิต และการก่อสร้างภาคเอกชนที่เงียบเหงาทำให้ปัญหาวัสดุก่อสร้างแพงและขาดแคลนเงียบเสียงไปด้วยโดยปริยาย

แต่รัฐบาลและส่วนงานที่รับผิดชอบในเรื่องนี้จะยินดีกับความเงียบดังกล่าว  แล้วรอเวลาให้ปัญหาปะทุขึ้นมาใหม่ในยามเศรษฐกิจฟื้นตัวกระนั้นหรือ?

ในมุมมองของภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับสินแร่และวัสดุก่อสร้างเห็นว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งควรจะมีวิสัยทัศน์ที่เปิดกว้าง  มองโลกแห่งความเป็นจริง  มีแผนแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและแผนรับมือในระยะยาว

รัฐบาล คสช.ต่อเนื่องมาถึงรัฐบาลชุดปัจจุบันสร้างฝันคนทั้งประเทศด้วยโครงการเมกะโปรเจกต์ที่เน้นลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ 44 โครงการ มูลค่ารวม 1.947 ล้านล้านบาท เป็นโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 17 โครงการ วงเงิน 7.82 แสนล้านบาทโครงการที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติแล้วและเตรียมดำเนินการ 12 โครงการ วงเงิน 4.12 แสนล้านบาทโครงการที่คณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ( PPP) เห็นชอบแล้วและเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี 2 โครงการ วงเงิน 2 แสนล้านบาทและอีก 13 โครงการ วงเงินลงทุน 5.51 แสนล้านบาท รอเสนอคณะรัฐมนตรี

ในหลายเมกะโปรเจกต์จะไปอยู่ในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี ที่ตั้งงบลงทุนในปี 2562-2566 ไว้สูงถึง 1.7 ล้านล้านบาท อาทิ ท่าเรือน้ำลึกมาบตาพุด สนามบินอู่ตะเภา รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (สุวรรณภูมิ- ดอนเมือง- อู่ตะเภา)

แน่นอนว่าโครงการเหล่านี้ต้องถูกผลักดันให้เดินหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อให้เกิดรูปธรรมที่จะสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุนและประชาชนที่รอคอยความหวังว่าเศรษฐกิจจะพลิกฟื้น  ซึ่งเมื่อหลายโครงการเริ่มลงมือก่อสร้างพร้อมกันในช่วงปี 2563-2565 ความต้องการวัสดุก่อสร้างก็จะขยับตัวสูงขึ้นตามลำดับ  จึงจำเป็นที่รัฐบาลต้องกำชับแต่ละภาคส่วนให้เตรียมรับมือแต่เนิ่นๆนับแต่การออกประทานบัตร  ใบอนุญาต  ปริมาณการผลิต  การควบคุมคุณภาพ และราคาที่เป็นธรรม

เมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา กลุ่มผู้ประกอบการเหมืองแร่ 9 บริษัทได้ยื่นหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอให้ทั้งสองกระทรวงประสานงานกันปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกิจการอื่นในพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เปิดช่องให้เขตปฏิรูปที่ดิน หรือสปก. ที่มีสภาพเป็นหิน ดินทราย ดินลูกรังหรือเหมืองแร่ซึ่งไม่เอื้อต่อการทำเกษตรกรรมถูกนำมาใช้ในกิจการเหมืองแร่ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สร้างรายได้ให้กับรัฐและเกษตรกร

ขณะเดียวกันรัฐบาลควรจะพิจารณาแก้ปัญหาการส่งออกแร่ที่มีแนวโน้มทรงตัวและลดลง  สาเหตุหนึ่งก็เพราะเมื่อปลายปี 2561 กระทรวงอุตสาหกรรมได้ปรับเพิ่มค่าภาคหลวงแร่ส่งออกราชอาณาจักรจาก 4% เป็น7% ซึ่งเป็นอัตราที่สูงมากทำให้ไม่สามารถแข่งขันกับประเทศผู้ส่งออกสำคัญและเสียตลาดจนถึงปัจจุบัน

การนำหินและสินแร่ที่มีอยู่ใต้ดินขึ้นมาใช้อย่างเหมาะสมภายในประเทศรวมถึงการส่งออก  เพื่อช่วยแก้ไขวิกฤติชาติและขับเคลื่อนเศรษฐกิจ  เป็นการสร้างงาน  สร้างผลผลิตตอบสนองความต้องการของตลาด  และป้องกันปัญหาในอนาคต  คือ ทางเลือกที่รัฐบาลควรพิจารณาอย่างรอบด้านและรวดเร็ว

Previous articleขี้เกียจรูดม่าน ให้ SWITCHBOT CURTAIN ช่วย หุ่นยนต์จิ๋วนักรูดมืออาชีพ สั่งด้วยเสียงหรือมือถือก็ได้
Next articleFitting “Black Color” By NANO ELECTRIC PRODUCT
เจตน์สฤษฏิ์ อ้องแสนคำ
Content Writer ผู้คลั่งไคล้การเสพหนัง, แคมป์ปิ้ง และอ่านหนังสือ ที่ฝันอยากมีบ้านเป็นของตัวเอง จึงเข้าสู่วงการสถาปัตยกรรมเพื่อศึกษาและค้นหาแรงบันดาลใจ