หากคุณเป็นคนที่ชอบงานศิลปะหรือการออกแบบต่าง ๆ เป็นชีวิตจิตใจ แล้วอยากต่อยอดพัฒนาความสามารถของตัวเองไปสู่ระดับมืออาชีพ บางครั้งไม่ยากเกินเอื้อมมือ เพราะปัจจุบันสถาบันการศึกษาต่างเปิดกว้างมากขึ้นทั่วโลก

การเรียนมหาวิทยาลัยเฉพาะทางด้านศิลปะและการออกแบบ เป็นอีกโอกาสและทางเลือกหนึ่งสำหรับคนที่อยากจะเป็นนักออกแบบ ศิลปิน หรือสถาปนิกมืออาชีพ สำหรับใครคิดอยากเรียนต่อ หรืออยากพัฒนาทักษะความสามารถของตัวเอง เรามีลิสต์สถาบันการศึกษา 10 แห่งของโลกที่โดดเด่นเรื่องการศึกษาศิลปะและการออกแบบโดยเฉพาะ

แต่ละสถาบันที่เราลิสต์มาให้นี้ จะมีรายละเอียดหลักสูตรการเรียนการสอนที่แตกต่างกันออกไป รวมถึงยังมีข้อจำกัดและกฏเกณฑ์ต่าง ๆ ของการสมัครเข้าศึกษา ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องคุณสมบัติ ความสามารถ ผลงาน หรือแม้แต่ข้อจำกัดในการรับนักศึกษาต่างชาติ สำหรับใครเล็งที่ไหนเอาไว้ควรจะศึกษารายละเอียดการรับสมัครควบคู่ไปกับการพิจารณาความสามารถของตัวเองไปด้วย ว่าเราเหมาะสมที่จะเรียนในสถาบันแห่งนี้หรือเปล่า

 

  1. Royal College of Art (RCA), London

RCA เป็นมหาวิทยาลัยที่รับนักศึกษาระดับปริญญาโทขึ้นไป เหมาะสำหรับผู้ที่เคยผ่านการศึกษาระดับปริญญาตรีมาแล้ว และเปิดโอกาสรับนักศึกษาจากต่างชาติสามารถเข้ามาเรียนที่นี่ได้ สำหรับโปรแกรมหลักสูตรการสอนเกี่ยวกับศิลปะและการออกแบบมีทั้งหมด 24 รายการ โดยแบ่งออกเป็น 6 แขนงวิชาตามสายการเรียนเฉพาะด้าน ได้แก่ สถาปัตยกรรม (Architecture), การออกแบบ (Design), วิจิตรศิลป์ (Fine Art), มนุษยศาสตร์ (Humanities), การสื่อสาร (Communication) และวัสดุ (Material)

ความน่าสนใจ:

  • การลงทะเบียนเรียนในแต่ละปีการศึกษา ทั้งหลักสูตรปริญญาโทและเอกนั้น ทาง RCA เปิดรับนักศึกษาเข้าเรียนประมาณ 1,500 คนต่อปีการศึกษาเท่านั้น
  • ที่ RCA มีตัวแทนนักศึกษาต่างชาติกว่า 63 ประเทศ
  • จากงานวิจัยพบว่า ศิษย์เก่ากว่า 93% มีความกระตือรือร้นในการสร้างสรรค์งานศิลปะและงานออกแบบเป็นเวลานานกว่า 5 ปี ภายหลังสำเร็จการศึกษา

James Dyson อัจฉริยะนักออกแบบผลิตภัณฑ์ระดับโลก และผู้ก่อตั้งบริษัท ไดสัน เจ้าของแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้า Dyson ชื่อดัง เขาเป็นศิษย์เก่าที่เคยเรียน การออกแบบอุตสาหกรรม ที่ Royal College of Art จึงทำให้เขาหลงใหลการออกแบบเชิง Functional Design ที่เน้นประโยชน์ใช้สอยของผลิตภัณฑ์เป็นหลัก

 

  1. MIT – Massachusetts Institute of Technology

หากพูดถึงการเรียนการสอนที่เน้นไปในด้านศิลปะวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีที่สัมพันธ์กันนั้น ที่ MIT เรียกได้ว่าตอบโจทย์ความต้องการ โดยที่นี่จะเน้นการค้นคว้าและแสวงหาความรู้เป็นส่วนใหญ่ จะมีศูนย์ศิลปะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือ MIT CAST คอยเปิดให้บริการสำหรับนักศึกษา เป็นพื้นที่สำหรับแลกเปลี่ยนเรียนรู้การทำงานร่วมกันระหว่างศิลปิน วิศวกร และนักวิทยาศาสตร์

ความน่าสนใจ:

  • เมื่อปี 2016 MIT ได้รับใบสมัครเข้าเรียนของนักศึกษาถึง 19,020 คน แต่คัดเลือกเหลือเพียง 1,511 คนเท่านั้น ที่ได้ผ่านการคัดเลือกให้เข้าเรียน อัตราส่วนการรับเข้าเรียนคิดเป็น 7.9%
  • เมื่อปี 2016 มีนักศึกษาจากต่างชาติทั้งสิ้น 4,299 คน ยื่นใบสมัครเข้ามา แต่มีเพียงแค่ 132 คนเท่านั้นที่ถูกคัดเลือก อัตราส่วนการรับเข้าเรียนคิดเป็น 3%
  • MIT จำกัดจำนวนการรับนักศึกษาต่างชาติในแต่ละปีน้อยกว่า 150 คน
  • MIT เป็นหนึ่งในไม่กี่มหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ ที่มีนโยบาย Need-Blind Admissions คอยดูเรื่องของคุณสมบัตินักศึกษาก่อนว่ามีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเรียนที่นี่หรือเปล่า หลังจากนั้นค่อยมาพิจารณาเรื่องกำลังทรัพย์ของนักศึกษาอีกที
  • การได้เข้าเรียนที่ MIT จะมุ่งให้นักศึกษาที่จบออกมามีความคิดสร้างสรรค์ในเชิงวิชาการเฉพาะด้าน

Ieoh Ming Pei สถาปนิกชาวจีนเจ้าของรางวัล Pritzker และเจ้าพ่อแห่งโมเดิร์นนิสต์สไตล์ ก็เคยเข้าศึกษาหลักสูตรวิศวกรรมที่ Massachusetts Institute of Technology (MIT) พ่วงด้วยผลงานที่มีชื่อเสียงมากมายไม่ว่าจะเป็น พิพิธภัณฑ์ Musée du Louvre ที่ปารีส, อาคาร Bank of China ในฮ่องกง หรือ East Building ของ National Gallery of Art ในวอชิงตัน ดีซี เขาเป็นสถาปนิกที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นตัวพ่อแห่งโมเดิร์นนิสต์สไตล์ เป็นนักทดลองผู้หาญกล้าในการออกแบบสถาปัตยกรรมรูปทรงเรขาคณิต ผลงานที่ประจักษ์มีทั้งพิพิธภัณฑ์ ห้องสมุด และศูนย์พลเมืองชั้นนำมากมาย

 

  1. Rhode Island School of Design (RISD)

RISD, Ivy League และ Brown มีวิทยาเขตติดกับ College Hill ซึ่งนักศึกษาในสถาบันทั้งหมดสามารถลงทะเบียนเรียนในวิทยาเขตอื่นได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม สำหรับที่ RISD วิชาเอกที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ได้แก่ ภาพประกอบ, การออกแบบอุตสาหกรรม, ออกแบบกราฟิก, ภาพยนตร์/อนิเมชั่น/วิดีโอ และจิตรกรรม

ความน่าสนใจ:

  • หนึ่งในสถิติที่น่าประทับใจของ RISD คือ จำนวนศิษย์เก่ากว่า 96% ถูกว่าจ้างให้ทำงานภายในหนึ่งปีภายหลังจากสำเร็จการศึกษา
  • ศิษย์เก่า RISD ประมาณ 70% ได้ทำงานในตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับสาขาที่เรียนมาโดยตรง ส่วน 25% ได้ทำงานในตำแหน่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับสาขาที่เรียนมา
  • ที่ RISD มีนักเรียนต่างชาติที่ลงทะเบียนเรียนคิดเป็น 33%
  • คะแนน SAT โดยเฉลี่ยในช่วงฤดูใบไม้ร่วง เมื่อปี 2016 คือ คณิตศาสตร์ 640, การอ่านเชิงวิเคราะห์ 623 และการเขียน 615

 

  1. Parsons School of Design at the New School

Parsons School of Design ตั้งอยู่ที่ Greenwich Village เมืองนิวยอร์ก ย่านที่สวยที่สุดของแมนฮัตตัน สถาบันแห่งนี้เหมาะสำหรับการเรียนรู้และสร้างสรรค์ไอเดียต่าง ๆ และเปิดโอกาสให้นักเรียนต่างชาติสามารถแสวงหาแรงบันดาลใจ หรือความชอบต่าง ๆ ตามต้องการได้

เมื่อปี 2015 Parsons School of Design เป็นมหาวิทยาลัยด้านศิลปะและการออกแบบอันดับหนึ่งของโลก และเมื่อปี 2017 ได้หล่นมาอยู่ที่อันดับ 4 ของโลก มีหลักสูตรการสอนมากกว่า 30 หลักสูตร ตามแขนงวิชา 5 แขนง ได้แก่ ประวัติศาสตร์ศิลปะการออกแบบและทฤษฎี, ศิลปะสื่อและเทคโนโลยี, การสร้างสภาพแวดล้อม, กลยุทธ์การออกแบบ และแฟชั่น

ความน่าสนใจ:

  • เมื่อปี 2014 Parsons School of Design มีนักเรียนต่างชาติจำนวนมากกว่ามหาวิทยาลัยอื่น ๆ ในสหรัฐฯ
  • เปิดกว้างสำหรับการรับนักศึกษาต่างชาติ โดยในปัจจุบันมีนักศึกษาทั้งหมด 116 ประเทศเข้ามาศึกษาที่นี่
  • ในปี 2016 Parsons School of Design มีอัตราการสมัครเข้าเรียนน้อยที่สุดถึง 64% เมื่อเทียบกับมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในลิสต์
  • ให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่นักศึกษาต่างชาติตามความต้องการ

Alexander Wang นักออกแบบเชื้อสายไต้หวัน จบการออกแบบจาก Parsons School of Design และหลังจากนั้นก็เริ่มเข้าสู่วงการแฟชั่น มาทำแบรนด์เสื้อเป็นของตัวเอง และวางขายในห้างร้านชื่อดังกว่า 200 ร้านทั่วอเมริกา อีกทั้งเมื่อปี 2008 เขายังได้รับรางวัล CFDA/Vogue Fashion Fund (Council of Fashion Designers of America) รวมถึงรางวัลอื่น ๆ อีกมากมายจากสถาบันแฟชั่นชื่อดัง

 

  1. University of the Arts, London (UAL)

UAL มหาวิทยาลัยที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองลอนดอน ซึ่งเป็นเมืองที่ดีที่สุดของโลก เปิดสอนทั้งสิ้น 6 แขนงวิชาที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้านศิลปะและการออกแบบ ได้แก่ ศิลปะ (Art), การออกแบบ (Design), แฟชั่น (Fashion), สื่อ (Media), การสื่อสาร (Communication) และศิลปะการแสดง (Performing Arts)

ความน่าสนใจ:

  • UAL มีหลักสูตรที่เปิดสอนกว่า 100 หลักสูตรในด้านศิลปะและการออกแบบ
  • มีตัวแทนนักศึกษาต่างชาติกว่า 130 ประเทศ

 

  1. Pratt Institute

Pratt Institute เป็นที่ต้องการอย่างมาก ทั้งในเรื่องของหลักสูตรที่น่าสนใจ ประกอบกับสถานที่ตั้งของมหาวิทยาลัยที่ตั้งอยู่ทั้งในแมนฮัตตัน นิวยอร์กซิตี้ และบรูคลิน สำหรับหลักสูตรการเรียนมีให้นักศึกษาเลือกจำนวนทั้งสิ้น 27 วิชา แบ่งเป็นแขนงใหญ่ ๆ ได้แก่ สถาปัตยกรรม (Architecture), ศิลปะ (Art), การออกแบบ (Design) และศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ (Liberal Arts and Sciences)

ความน่าสนใจ:

  • Pratt Institute เปิดรับนักศึกษาต่างชาติเข้าศึกษากว่า 80 ประเทศ
  • 26% ของนักศึกษาปริญญาตรีที่นี่ เป็นนักศึกษาที่อยู่นอกเขตสหรัฐฯ
  • แม้ว่าอัตราส่วนการรับเข้าเรียนจะสูงถึง 66% แต่การที่จะเข้าเรียนที่นี่ได้นั้นขึ้นอยู่กับแฟ้มผลงานและคุณสมบัติของผู้เข้าสมัครเป็นหลัก ซึ่งมีการแข่งขันที่สูงพอสมควร

 

  1. School of the Art Institute in Chicago (SAIC)

SAIC เปิดสอนหลักสูตรทั้งในระดับปริญญาตรีและสูงกว่า ครอบคลุมสาขาการศึกษาตั้งแต่เรื่องทฤษฎีไปจนถึงภาคปฏิบัติเกี่ยวกับ ภาพยนตร์, การออกแบบ และแฟชั่น นอกจากนี้ SAIC ยังมีโปรแกรมศิลปศาสตร์ เน้นบทบาทสำคัญของมนุษยศาสตร์ คณิตศาสตร์ และการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาทักษะของศิลปิน

Walter Disney ผู้ก่อตั้ง The Walt Disney Company และผู้ให้กำเนิดตัวการ์ตูนขวัญใจเด็ก ๆ หลายคน เช่น มิคกี้เมาส์ พิน็อคคิโอ้ และเจ้าหญิงต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทลูกเยอะแยะมากมาย และ Walter เองก็เคยศึกษาที่ School of the Art Institute in Chicago ด้วย

ความน่าสนใจ:

  • SAIC เป็นสถาบันสอนศิลปะและการออกแบบที่มีทุนจากรัฐบาลมากที่สุดในศตวรรษที่ผ่านมา
  • 30% ของนักศึกษาทั้งหมด เป็นนักศึกษาต่างชาติ ซึ่งในแต่ละปีมีนักศึกษาต่างชาติมากกว่า 1,000 คน สมัครเข้ามาศึกษาที่นี่
  • SAIC ได้รับการยอมรับว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่เข้ายากที่สุด
  • นักศึกษาต่างชาติระดับปริญญาตรีมีสิทธิได้รับทุนการศึกษาตามความสามารถ เช่นเดียวกับนักศึกษาต่างชาติระดับบัณฑิตศึกษา แต่จะไม่มีสิทธิ์ได้รับความช่วยเหลือทางการเงินจากรัฐบาล

 

  1. Stanford (equal)

Stanford เป็นมากกว่ามหาวิทยาลัยที่เน้นเพียงเรื่อง STEM หรือหลักสูตรวิทยาการคอมพิวเตอร์ ในความเป็นจริง Stanford เป็นมหาวิทยาลัยที่มีจุดแข็งในเรื่องการเรียนด้านการออกแบบและความคิดสร้างสรรค์ โดยมี Stanford d.shool เป็นพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สร้างสรรค์ และพัฒนาทักษะการออกแบบสำหรับนักเรียนและคณาจารย์

ความน่าสนใจ:

  • เกือบ 70% ของนักศึกษาปริญญาตรีได้รับทุนช่วยเหลือด้านค่าเล่าเรียน และประมาณ 85% ของนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา ได้รับความช่วยเหลือทางด้านการเงิน
  • ปี 2017 Stanford มีผู้เข้าสมัครเรียนมากกว่า 44,073 คน และมีเพียง 2,050 คนเท่านั้นที่ถูกรับเลือกเข้ามาเรียน ทำให้อัตราการเข้าเรียนในปี 2017 มีอัตราการแข่งขันที่สูงมากถึง 4.65 %
  • ข่าวดีสำหรับนักศึกษาต่างชาติ ทาง Stanford ยินดีให้การสนับสนุนความต้องการด้านการเงินให้แก่นักศึกษาทุกคนที่ส่งคำร้องขอความช่วยเหลือ โดยไม่คำนึงถึงเรื่องความเป็นพลเมืองในประเทศตนเอง

 

  1. Yale (equal)

Yale มหาวิทยาลัยสำหรับนักสร้างสรรค์และนักวิชาการ เปิดสอนหลักสูตรศิลปศาสตร์ ที่นักศึกษาสามารถเรียนรู้ได้ในหลากหลายสาขาวิชา โดยไม่ต้องเลือกวิชาเอก นักศึกษาสามารถเลือกเรียนวิชาตามความต้องการ และสามารถกำหนดรูปแบบสาขาวิชาเอกได้ตามความชอบตัวเอง ซึ่งที่ Yale เหมาะสำหรับผู้ที่มีผลการเรียนที่ดีระดับหนึ่ง บวกกับความชอบในหลากหลายสาขา ไม่ใช่โฟกัสอยู่แค่เรื่องศิลปะและการออกแบบ

ความน่าสนใจ:

  • Yale เป็นมหาวิทยาลัยศิลปะและการออกแบบที่มีอัตราการลงทะเบียนเข้าเรียนของนักศึกษาต่างชาติค่อนข้างสูง แบ่งเป็น สาขาสถาปัตยกรรม 28%, ศิลปะ 26% และดนตรี 44% ซึ่งมากที่สุด
  • เมื่อปี 2017 มีนักศึกษาสมัครเข้ามาเรียนมากถึง 32,900 คน ซึ่งอัตราการรับสมัครอยู่ที่ 6.9%
  • ในอนาคต Yale มีแผนที่จะขยายชั้นเรียนในอนาคตให้เติบโตมากขึ้น

หากคุณรู้จัก Norman Foster สถาปนิกชาวอังกฤษ เจ้าของบริษัทสถาปัตยกรรมที่ชื่อว่า Foster + Partners เจ้าของผลงาน Apple Campus Building และ Masdar City เป็นเมืองที่สร้างจากพลังงานยั่งยืนแห่งแรกของโลก ซึ่ง Foster เคยได้รับทุน Henry Fellowship เพื่อเรียนต่อปริญญาโทสาขาสถาปัตยกรรมศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัย Yale แห่งนี้ด้วย

 

  1. Politecnico Di Milano

Politecnico Di Milano ตั้งอยู่ที่เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี ติด Top 10 มหาวิทยาลัยศิลปะและการออกแบบที่ดีที่สุด นอกเหนือจากในสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ และหากใครที่ชื่นชอบหรือหลงใหลในเรื่องแฟชั่นเป็นพิเศษ Politecnico Di Milano เป็นหนึ่งสถาบันที่ควรอยู่ในลิสต์ไว้สำหรับพิจารณา เพราะมิลานเป็นเมืองหลวงที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแฟชั่นของโลก ซึ่งมีโปรแกรมการเรียนการสอนทั้งด้านสถาปัตยกรรม การออกแบบ และวิศวกรรม ที่ทั้งสามแขนงวิชานี้สอนเป็นภาษาอังกฤษ

ความน่าสนใจ:

  • เป็นมหาวิทยาลัย 1 ใน 10 ของมหาวิทยาลัยในยุโรปที่มีสาขาวิจัยครอบคลุมทั้งหมด 5 สาขา ได้แก่ สถาปัตยกรรมและการสร้างสภาพแวดล้อม (Architecture & Built Environment), ศิลปะและการออกแบบ (Art & Design), วิทยาการคอมพิวเตอร์และระบบสารสนเทศ (Computer Science & Information Systems), วิศวกรรมโยธาและโครงสร้าง (Civil & Structural Engineering) และวิศวกรรมเครื่องกลการบินและการผลิต (Mechanical, Aeronautical & Manufacturing Engineering)
  • ติด 1 ใน 50 มหาวิทยาลัยของโลกใน 6 สาขาการวิจัย ได้แก่ สถาปัตยกรรมและการสร้างสภาพแวดล้อม (Architecture & Built Environment), ศิลปะและการออกแบบ (Art & Design), วิทยาการคอมพิวเตอร์และระบบสารสนเทศ (Computer Science & Information Systems), วิศวกรรมโยธาและโครงสร้าง (Civil & Structural Engineering), วิศวกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (Electrical & Electronic Engineering) และวิศวกรรมเครื่องกลการบินและการผลิต (Mechanical, Aeronautical & Manufacturing Engineering)
  • ไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการสมัครและค่าเล่าเรียน เป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับนักศึกษาต่างชาตินอกเขตยุโรป

Stefano Boeri เคยศึกษาอยู่ที่ Politecnico Di Milano และเขากลายมาเป็นสถาปนิกชาวอิตาลีผู้ทรงอิทธิพลด้านงานสถาปัตยกรรมและภูมิสถาปัตยกรรมที่ให้ความสำคัญกับต้นไม้ ซึ่งงานออกแบบของเขาสร้างความยิ่งใหญ่ถึงระดับการสร้างป่าในเมืองใหญ่ หรือ Urban Forestry เลยทีเดียว

 

อ้างอิงข้อมูลจาก: https://www.crimsoneducation.org/us/blog/campus-life-more/best-art-and-design-schools/

 

Previous articlePART II: ย้อนวัยเยาว์ ชวนดูตัวต่อ 25 แบบจาก LEGO
งดงามด้วยงานสถาปัตยกรรมที่ทำเองได้ที่บ้าน
Next articleชไนเดอร์ อิเล็คทริค เปิดตัว ผลิตภัณฑ์กลุ่ม Easy Series
ผลิตด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ ในราคาสุดคุ้ม